รถสปอร์ตกับการเดินทางท่องเที่ยว ดูเป็นเรื่องปกติที่หลายๆ คนก็ใช้ แค่คราวนี้เป็น All New Honda CBR150R สปอร์ต 150 เล็กสุดตระกูล CBR และเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของฮอนด้า กับกิจกรรมที่ฮอนด้าจัดให้สื่อมวลชนได้ร่วมกันขี่ทดสอบในรูปแบบออกทริปท่องเที่ยว จุดหมายเขาใหญ่ แต่จะไปวนเส้นทางไหน แล้วรถขี่ดีแค่ไหน ตามต่อเลยครับ
หลังจากฮอนด้าได้เปิดตัว All New Honda CBR150R และจัดให้สื่อมวลชนทดสอบขี่ในรูปแบบ Track day ที่สนามมอเตอร์สปอร์ตพาร์ค สุวรรณภูมิ คลิกอ่านบททดสอบตรงนี้ (คลิกกลับมาอ่านต่อเรื่องนี้ด้วยล่ะ หรืออ่านเรื่องนี้ก่อนค่อยคลิกทีหลังก็ได้)
เช้าตรู่วันศุกร์สื่อมวลชนกว่า 30 ชีวิตและสาวๆ Biker Chick ที่นำโดย “แอนนี่-ปริศนา” พร้อมกันที่ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า สุขาภิบาล 3 โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม สลับกันขี่ในแต่ละช่วง ช่วงหนึ่งมีระยะทางเฉลี่ยประมาณ 60-70 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางทั้งไปและกลับกว่า 500 กิโลเมตร
ผมเป็นกลุ่มที่ 2 ขี่ทีหลัง ซึ่งในช่วงแรกจะต้องฝ่ารถติดบนเส้นทางออกนอกเมืองจากสุขาภิบาล 3 ไปทางสุวินทวงศ์ผ่านฉะเชิงเทรา ผมจึงนั่ง(หลับ)บนรถตู้เย็นๆ สบายๆ ไปก่อน ฮ่า
ไปถึงจุดสลับขี่จุดแรก ปตท. เลยพนมสารคามมาแล้ว ผมขี่ต่อไปทางกบินทร์บุรี จุดหมายคือไฮไลท์ของทริปนี้คือ “อุโมงค์ทับลาน” ทำไมถึงเป็นไฮไลท์ล่ะ?
อุโมงค์ทับลาน
ที่เป็นไฮไลท์อย่างแรกเพราะ ที่นี่เป็นที่ถ่ายภาพยนตร์โฆษณา All New Honda CBR150R ยานพาหนะของเราในทริปนี้ อย่างที่สองด้วยความบังเอิญก่อนเราจะเดินทางเพียงสองวันก็มีข่าวว่าสัตว์ป่าได้ใช้เป็นทางเดินข้ามจากป่าสู่ป่าได้แล้ว โดยมีภาพถ่ายจากกล้องที่เจ้าหน้าที่ได้ติดไว้ออกมาทางโซเชียลอีกด้วย
First Ride คุยถึงตัวรถบ้าง
สำหรับ All New Honda CBR150R ถือว่าเป็นการขี่ครั้งแรกของผม ทันทีที่คล่อมลงไปต้องบอกว่ารถมีขนาดเล็กและเพรียวมากๆ เล็กเพรียวกว่าโฉมเดิมชัดเจน (แต่น่าจะสูสีกับคู่แข่งทั้ง GSXR150 และ R15) ท่าขี่ยังให้ความสบาย แฮนด์จับยึดเหนือแผงคอไม่ต่ำเช่นเดียวกับตำแหน่งพักเท้าที่ไม่สูง จากการออกแบบฮอนด้ายังเน้นในเรื่องการเป็นรถใช้งานได้อเนกประสงค์ แต่เน้นที่ความคล่องตัวที่มีมากขึ้นกว่าโฉมเดิมอย่างชัดเจน
โช้คอัพสเต็ปเทพ ครั้งแรกบน CBR150R
ความเร็วในการเดินทางอยู่ระหว่าง 110 – 120 กม./ชม. สิ่งที่รู้สึกได้คือความนิ่มของโช้คอัพโดยเฉพาะโช้คอั้พหน้า แต่ก็พอขี่ได้ไม่มีปัญหาอะไร ที่จะบอกคือโช้คหน้าของ All New Honda CBR150R ปรับได้ ผมก็เดาว่าแมคคานิคฮอนด้าคงเซ็ตอ่อนมาให้ลอง (ซึ่งจนจบทริปผมก็ไม่ได้ถามนะ ว่าปรับแบบไหนมาให้ลอง) โดยรายละเอียดข้อมูลต่างๆ คลิกตรงนี้เลย
เช็คอิน กินข้าวเที่ยง ที่ Verona
จากอุโมงค์ทับลานเพียง 4 กิโลเมตร ก็มาถึง Verona จุดพักรถและจะเป็นที่กินข้างมื้อกลางวันของเราในร้านอาหาร Black wood รวมระยะทางจากศูนย์ขับขี่ปลอดภัยฮอนด้าถึงตรงนี้ก็ 184 กิโลเมตรแล้ว และที่จุดนี้ยังเป็นจุดที่จะสลับกันขี่อีกครั้ง ผมขึ้นรถตู้นั่งย่อยมื้อกลางวันไปอีก 45 กิโลเมตร โดยเส้นทางระหว่างนี้คือเส้นเขาแผงม้านั่นเอง กลุ่มผมจึงต้องพลาดทดสอบขี่ All New Honda CBR150R ในโค้งความเร็วสูงเลย น่าเสียดาย
นั่งรถตู้จนถึงร้าน 22C Café เพื่อพักดื่มเครื่องดื่ม และรอสลับขี่อีกครั้ง จากจุดนี้จะเป็นเส้นทางเลาะอ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพง เป็นโค้งต่อเนื่อง แต่ขบวนเราก็ขี่เรียงหนึ่งในความเร็วที่ไม่สูงนัก เรียกว่า “ขี่เรื่อยๆ” ดีกว่าคือไปไม่ช้าไม่เร็วนัก ด้วยสภาพเส้นทางที่มีการทำถนนในบ้างช่วง และบางช่วงก็มีฝนตกลงมานั่นเอง เน้นปลอดภัย แต่ก็ได้ทดลองใช้เบรกบนทางที่ลื่นฟีลลิ่งเบรกใช้ได้เลย เนียน หนึบ สั่งได้ตามกำลังที่บีบบนก้านเบรก เบรกไม่จับหนักหรือหยุด “กึ๊ก” จนรถเสียอาการ แม้แต่ในขณะที่ตัวรถเอียงอยู่บ้างก็ตาม
ขี่สปอร์ต นอนหรู อยู่สบายที่ ดุสิต ดีทู เขาใหญ่
ขบวน All New Honda CBR150R ก็มาถึง ดุสิต ดีทู เขาใหญ่ ที่พักของเราในค่ำคืนนี้ ซึ่งฮอนด้าจัดให้อย่างหรูหรา และในที่พักยังมีกิจกรรมให้สนุกมากมาย แต่หลายคนเลือกที่จะลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำที่มีวิวเป็นเขาใหญ่มากกว่า ผมก็เลือกที่จะพักในห้องพักแสนสวย เสพความสบายก่อนจะออกมาร่วมปาร์ตี้สุดมันส์กับ ดีเจคนสวย “แอนนี่ ไดอนา” หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม Biker Chick ก่อนจะแยกย้ายกันพักผ่อน
วันที่ 2 ร่วมทำบุญวันวิสาขบูชา
เช้าวันรุ่งขึ้นเราจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางขึ้นเขาใหญ่ไปลงทางปราจีนบุรี-นครนายก กลุ่ม B กลุ่มที่ผมอยู่ ต้องนั่งรถตู้ไปก่อนในช่วงนี้ เราแวะทำบุญร่วมกันถวายสังฆทานกันที่วัดธารอุทุมพร ซึ่งห่างจากที่พักเพียง 3 กิโลเมตร จากนั้นก็ลุยขึ้นเขาใหญ่กันเลย (แต่ผมก็ยังนั่งรถตู้อยู่ดี)
เขาใหญ่ แลนด์มาร์คของเหล่าไบค์เกอร์
ผ่านทุ่งกระทิงลงมา จะเป็นจุดสลับกันขี่อีกครั้ง ทีนี้กลุ่มผมลงมาขี่บ้าง ต้องผ่านโค้งขาลงกลับทางปราจีนฯ แต่ก็ยังเป็นในรูปแบบขบวนกับความเร็วที่เฉลี่ยๆ ที่ 60-70 กม./ชม. เท่านั้นเพื่อความปลอดภัยและตามกฎของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่ถึงแม้จะใช้ความเร็วไม่มาก ก็พอจะรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของช่วงล่าง ที่แน่นขึ้นกว่าวันแรกที่ผมได้ขี่
คงเป็นผลจากการปรับตั้งให้ใหม่จากทีมแมคคานิกของฮอนด้า หรือกลุ่มสื่อมวลชนที่ขี่กลุ่มแรกที่บิดปรับตั้งใหม่ ผลคือช่วงล่างให้ความหนึบแน่นกว่าเดิม ดีจนน่าประทับใจแม้รถจะมีขนาดเล็กก็ตาม ช่วงล่างมีระบบ Pro Link เข้ามาช่วย รู้สึกถึงการกระจายแรงกระทำที่จะส่งผลต่อผู้ขับขี่ได้ดีขึ้น กอปรกับโช้คอัพหลังที่ปรับสริงพรีโหลดได้ 5 ระดับ แต่ผมก็ไม่ได้ลองปรับนะ เท่าที่ใช้ในทริปนี้กับน้ำหนักตัวผมที่ 85 กิโลกรัม ก็พอได้อยู่
เติมน้ำมันแวะกินข้าวแล้วซัดยาวบนเส้น 300!!?
ลงจากเขาใหญ่เราเลี้ยวขวาที่วงเวียนเพื่อเติมน้ำมัน ต่อจากนั้นก็ขี่วนวงเวียนยิงเข้านครนายก แวะกินอาหารกลางวัน หลังจากอิ่ม กลุ่มผมก็ยังทำหน้าที่หวดคันเร่งต่อ โดยใช้เส้นทาง รังสิต-นครนายก ทางหลวงหมายเลข 305 “เส้นดราม่า” ที่ขาแว๊นสายบิดสายบุญอัดคลิปหมอบแข่งให้เห็นกันเป็นประจำ แต่สำหรับผมและหลายๆ คนที่ใช้รถบิ๊กไบค์อาจจะเรียก “เส้น 300” เพราะเป็นเส้นทางที่ตรงยาว มองได้ไกล รถระดับ 1,000 ซีซี สามารถกดความเร็วได้เกินกว่า 300 กม./ชม. และหลายคนก็บิดเกิน 300 กม./ชม. ที่เส้นนี้บ่อยครั้ง รวมถึงผมด้วย(แต่เลิกแล้วนะครับ อิอิ)
ที่เกริ่นไปเพราะเป็นโอกาสที่จะได้ลองทดสอบความเร็วปลายของ All New Honda CBR150R ดูบ้าง โดยการขี่ของเราจะมีคุณตำรวจนำขบวน แต่คุณตำรวจก็ใช้รถขนาด 500 และ 650 ซีซี. จึงไม่เป็นปัญหาที่จะนำให้เราได้ทดสอบสมรรถนะความเร็วปลายตามที่หวังไว้ได้ไม่ยาก ผมนั่งขี่กดจดสุดคันเร่งได้เพียง 130 กม./ชม. ที่ 10,000 รอบ/นาที ไม่ขึ้นไปกว่านี้แล้ว ในขณะที่รถคันข้างหน้าผมคือ “น้องแอนนี่” เธอขี่ยืดผมออกไปด้วยท่านั่งขี่เหมือนๆกัน
ด้วยเพราะ น้ำหนักตัวผู้ขี่ที่เป็นปัจจัยสำคัญกับรถขนาดเล็กเช่นนี้แน่นอน ผมหมอบขี่ทันทีรถไหลขึ้นไปอีกนิด แต่พอที่จะเข้าไปติดตูดรถของน้องแอนนี่(เริ่มโดดหมอบเช่นกัน สาวซิ่งนะเนี่ย) ผมจึงอาศัยลมดูดจากเธอซะเลย ผลคือความเร็วบนเรือนไมล์ไหลไปได้ถึง 140 กม./ชม. ที่ 10,000 รอบ/นาที ซึ่งกว่าจะไหลมาแปะที่ความเร็วนี้ก็ใช้ระยะทางมากพอสมควรเลย ถ้าหลุดลมดูดความเร็วรถก็ตกลงทันทีเช่นกัน ถ้าอยากแรงกับรถพิกัดนี้ ลดน้ำหนักตัวเองก่อน เห็นผลแน่นอน!!
ผมถามน้องแอนนี่ ซึ่งในขณะที่เธอนำผมคามเร็วเธอไม่ถึง 140 ก็แน่ล่ะ ผมถึง 140 ก็จะชนท้ายเธอแล้วถ้าไม่ผ่อนคันเร่งลงนิดนึง เพราะแอนนี่อยู่หน้าโดนลมปะทะเต็มๆ แถมยังแบกรถอีกคันขึ้นไปด้วย ไม่แปลกที่จะไม่ถึง 140 แต่เธอก็บอกว่าความเร็งสูงสุดที่ทำได้ก็ 140 กม./ชม. เหมือนกัน แต่ไม่นานมากนัก
Montreux Café and Farm จุดแวะเที่ยวสุดท้ายก่อนเข้า กทม.
เป็นร้านเครื่องดื่มและขนมที่มีฟาร์มทำการเกษตรอยู่ด้วย มีการออกแบบมุมต่างๆ สวยงาม สำหรับพักผ่อน ถ่ายรูป เป็นอีกร้านที่ไม่ควรพลาดถ้าจะมาเส้น รังสิต-นครนายก และจุดนี้ก็เป็นจุดสลับขี่ครั้งสุดท้าย กลุ่มผมก็จะนั่งรถตู้ไปยังศูนย์ขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า สุขาภิบาล 3 เป็นอันจบทริป ทดสอบ All Honda CBR150R ครั้งนี้แล้วนั่นเอง
สรุปเกี่ยวกับตัวรถหน่อย
- ช่วงล่างปรับได้ ใช้งานได้ดีไม่ไม่ต้องมีความรู้ครับ แค่ถ้าเรารู้สึกว่าโช้คหน้านิ่มหรือแข็งไปสำหรับเรา เราก็ปรับหมุนปรับที่หัวโช้คง่ายๆ เลย โช้คหลังก็ปรับสปริงพรีโหลดได้ 5 ระดับ ก็เช่นเดียวกันถ้าขี่มีคนซ้อนบ่อยๆ ก็ลองหมุนให้แข็งขึ้นได้ง่ายๆ รวมถึงระบบ Pro Link ที่ทำหน้าที่กระจายแรงกสระทำได้ดีมาก
- อัตราเร่งตอนต้นดี โดดเด่นในพิกัดเท่าๆ กัน กำลังเครื่องยนต์พึ่งพาได้ แม้จะผมที่คนขี่จะมีน้ำหนักตัวที่หนัก 85 แน่นอนถ้าผู้ขี่มีน้ำหนักตัวเบากว่านี้ ก็ยิ่งไม่เป็นภาระของเครื่องยนต์
- เบรกดี เนียนๆ การออกแบบเฟรม ช่วงล่าง รับกัน เบรกแรงๆ รถไม่เสียอาการ
- ความกะทัดรัดที่ให้ความคล่องตัวสูง รถติดๆ นี่สบายเลย พับหูกระจกหน่อย ผสานกำลังเครื่องยนต์และข่วงล่างเส้นอโศกนี่พริ้วเลย
- อัตราการกินเชื้อเพลิง อยู่ในเกณฑ์ดี ประหยัด เฉลี่ยๆ 45-46 กม./ลิตร (คือสลับเปลี่ยนคันกันจนไม่รู้ว่าคันไหนเป็นคันไหน แต่ผมก็เลือกสุ่มกดที่เรือนไมล์ดู 2 คัน ก็ได้ตัวเลขตามนี้
ราคาจำหน่าย 92,000 บาท(ตัว Standard สีดำกับสีน้ำเงิน) และ 99,000 บาท (ตัว ABS ลายทีมแข่ง ap honda กับ Repsol)
ข้อสังเกต : เรื่องเรือนไมค์ เมื่อต้องหมอบขี่มองความเร็ว รอบเครื่องยากอยู่ และ ภาพถ่ายทริปนี้ที่นำมาใช้งานได้น้อยไปหน่อย ภาพวันที่ 2 ผมไม่ได้มาเลย รวมถึงแอคชั่นขี่ ต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วยครับ
Special Thank : บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด
ทดสอบในสนามมอเตอร์สปอร์ตพาร์ค สุวรรณภูมิ คลิกตรงนี้
มีอะไรใหม่ คลิกตรงนี้