รีวิว BMW F900XR และ F900R มิดเดิ้ลเวทไบค์ ที่ทันสมัยที่สุดในโลก

0

BMW F900XR และ F900R รถคลาสกลาง 2 รุ่นล่าสุดของ BMW Motorrad ที่เปิดตัวในไทยครั้งแรกที่งาน Motorshow 2020 ที่ผ่านมา กับดีไซน์ที่ล้ำสมัยกว่าตระกูล F เดิมอย่างชัดเจน พ่วงด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลกมาด้วย

BMW Motorrad Thailand จัดกิจกรรมทดสอบขับขี่ครั้งนี้พร้อมกันถึง 2 รุ่นคือ F900R โร้ดสเตอร์  และ F900XR แอดเวนเจอร์สปอร์ต ซึ่งทั้ง 2 รุ่นประกอบในประเทศไทย จัดอยู่ในรถขนาดกลางที่ใช้งานบนทางลาดยางเป็นหลัก (รหัส F900XR แม้ดีไซน์ท่านั่งจะเป็นแนวแอดเวนเจอร์ แต่ก็คือรถทางดำ ไม่ใช่รถลุยทางเดิร์ทนะ)

เครื่องยนต์อัพเกรดความเร้าใจขึ้นไปอีกชั้น

เครื่องยนต์ทาง BMW บอกว่าเปลี่ยนใหม่ แต่ยังเป็น Parallel Twin 2 สูบแถวเรียง พื้นฐานจากรุ่น F 850 GS เดิม ขยายปริมาตรกระบอกสูบเป็น 895 ซีซี (จากเดิม 853 ซีซี) ลูกสูบนอกจากใหญ่ขึ้นแล้ว ยังเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตจาก Die casting เป็น Forged เครื่องยนต์ใหม่นี้ ให้กำลัง 105 แรงม้าที่ 8,500 รอบ/นาที และแรงบิด 92 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ/นาที มีองศาการจุดระเบิดที่ 270/450 องศา พร้อมระบบคลัทช์แบบ Anti-hopping (คล้ายกับ Slipper Clutch) พ่วงระบบ MSR??

Riding Modes

โหมดการขับขี่ 3+1 โหมด Rain, Road และ Dynamic ให้เลือก แถมด้วย Riding Modes Pro ที่จะตัดระบบช่วยการขับขี่ทุกอย่าง และมีการเปิดใช้โหมดต้องเสียบปลั๊กพิเศษเท่านั้น  ในส่วนของความปลอดภัยมาเต็ม พร้อมระบบ ASC (Automatic Stability Control) ระบบช่วยในการทรงตัวรถโดยการอ่านค่าการเบรกการยึดเกาะของล้อและอื่นๆ ซึ่งสามารถเลือกเปิดหรือปิดได้ตามต้องการ ทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ อย่างสัมพันธ์กัน

MSR และระบบอิเล็กทรอนิกส์สุดล้ำ

ระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบช่วยการขับขี่ให้มาเยอะมาก เริ่มจากระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง MSR ย่อมาจากภาษาเยอร์มันที่ว่า “MotorSchleppmomentRegelung” ผมก็อ่านไม่ออกอ่ะนะ เอาว่าเป็นว่าระบบคลัทช์จะทำงานร่วมกับ Riding Mode คือคลัทช์จะทำงานกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ แรงกระทำหรือการเปลี่ยนแปลงกำลังของเอนจิ้นเบรคจะคำนวนตามสภาพการยึดเกาะของถนน แตกต่างกันในแต่ละโหมดการขับขี่ ต่างจาก Slipper Clutch ที่ทำงานในอัตราเดิม อย่างชัดเจน ล้ำสุดๆ

ระบบเบรก ABS Pro ที่ BMW Motorrad นำมาติดตั้งในมอเตอร์ไซค์ขนาด”มิดไซส์” หรือขนาดกลางเป็นครั้งแรก ระบบจะช่วยเมื่อใช้เบรกหน้าแบบฉับพลันในจังหวะที่รถเอียงอยู่ในการเลี้ยวโค้งโดยไม่เสียเสถียรภาพการทรงตัว

ระบบ Dynamic Brake Control (DBC) ที่ช่วยตัดกำลังขับและแรงดึงแปรผันจากเครื่องยนต์ในจังหวะที่ผู้ขับขี่ใช้เบรกแบบฉับพลัน จึงชะลอความเร็วหรือหยุดรถได้เต็มประสิทธิภาพในเวลาน้อยที่สุด ใครเคยอบรมเทคนิคการเบรกของ BMW Motorrad ที่ต้องบีบคลัทช์เพื่อตัดแรงกระทำของเครื่องยนต์ออก ให้เบรกได้ทำงานอย่างเต็มระบบ ระบบ DBC ก็คล้ายๆ แบบนั้นล่ะครับ แต่จะทำงานโดยอัตโนมัติ สมู้ท ไร้รอยต่อ

 ระบบ Headlight Pro ไฟหน้า LED พร้อม Adaptive Cornering Light ที่ปรับองศาตามการเลี้ยวโค้ง ช่วยเปิดมุมมืดในโค้ง ทำงานด้วย 3 เงื่อนไขคือ องศาการเอียงรถที่ 10 องศา มีความเร็วเกินกว่า 10 กม./ชม. และอยู่ในที่มืด  

 ระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ป้องกันการลื่นไถลของล้อหลังและการยกตัวของล้อหน้าในจังหวะเปิดคันเร่งแบบฉับพลัน ป้องกันการยกตัวของล้อหลังในทุกสภาวะการขับขี่ ซึ่งจะเปลี่ยนค่าการทำงานตามโหมดการขับขี่และองศาการเอียงของรถใน Riding Modes Pro ที่ผู้ขับขี่ใช้ในขณะนั้น

และระบบช่วงล่างไฟฟ้า Dynamic ESA ตรวจจับน้ำหนักบรรทุกในขณะขับขี่เพื่อปรับระดับของระบบช่วงล่างให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์

Gearshift Assist Pro ระบบเพิ่มหรือลดเกียร์โดยไม่ต้องใช้คลัทช์ คล้าย Quick Shifter แต่เหนือกว่าตรงที่ระบบของทาง BMW Motorrad จะทำงานได้ฉับไวกว่า มีการชดเชยรอบเครื่องให้สัมพันธ์กับการเพิ่มหรือลดเกียร์รวมถึงความสัมพันธ์ของระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เช่นเดียวกับที่อยู่ใน S1000RR และ R1250GS  

ตระกูล F เฟรมเหล็กยังคงยืนหนึ่ง

ตระกูล F-Series รุ่นอื่น ๆ จะใช้โครงสร้างเฟรมเหล็กกล้า ที่เสริมความแข็งแกร่งให้แก่เครื่องยนต์และถังน้ำมันซึ่งติดตั้งอยู่ด้านหน้าคนขับ พร้อมโช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิก ด้านหลังสวิงอาร์มคู่อะลูมิเนียมพร้อมระบบกันสะเทือนแบบ Central Suspension strut แต่ทั้ง F900R และ F900XR จะต่างกันที่ระยะของโช้คอัพ ที่สั้นยาวไม่เท่ากัน

Dynamic ESA ช่วงล่างไฟฟ้า

Dynamic Electronic Suspension Adjustment หรือช่วงล่างปรับไฟฟ้า จะมีเซ็นเซอร์ที่โช้คหลังและเซ็นเซอร์จับความเอียงของรถ จะสั่งการทำงานไปโช้คหลังโดยมีกระบอกยาวๆ สีทอง เหน็บอยู่ที่ซับเฟรมด้านซ้ายของตัวรถทำหน้าที่เก็บและควบคุมแรงดันน้ำมันที่มีผลต่อ Compression และ Rebound เพื่อให้สัมพันธ์กับโหมดขับขี่ที่เราเลือกใช้

หน้าจอ TFT 6.5 นิ้ว พร้อมเชื่อมต่อ Smart Phone

ทั้ง 2 รุ่นมีหน้าจอ TFT สีขนาด 6.5 นิ้ว บอกการทำงานละเอียดมาก ฟังก์ชั่นเพียบ รูปแบบเหมือนในรถมอเตอร์ไซค์ BMW เกือบทุกรุ่น ใช้งานง่ายมาก หน้าจอเลือการแสดงผลได้  2 รูปแบบ โดยแบบสปอร์ต จะมีบอกองศาเอียงของรถทั้งซ้ายขวาแบบ Real time ด้านซ้ายมีบอกอัตราการใช้ DTC หรือ Traction Control ด้านขวามีบอกการใช้ DBC หรืออัตรากำลังเบรก และมีบอก Lap Timer ด้วยนะ

หน้าจอสามารถเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่น BMW ConnectedRide บนสมาร์ทโฟนได้ ตัวแอพพลิเคชั่นจะบอกการทำงานหรือฟังก์ชั่นต่างๆ ของรถอย่างครบครัน เรายังสามารถรับ-วางสายหรือเลือกเพลงในสมาร์ทโฟนได้ที่สวิทซ์แฮนด์ด้านซ้าย

ข้อมูลการขับขี่ทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้และดูได้ที่หน้าจอ TFT กับ Smart Phone เอามาขิงกันได้ ฮ่า
Keyless Ride ครั้งแรกในรถขนาดกลาง

ระบบกุญแจ Keyless Ride ของ BMW Motorrad จะมีความเหนือระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วยที่สามารถเปิดฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงได้โดยไม่ต้องใช้ลูกกุญแจมาไขบิดที่ฝาถังน้ำมันอีกต่อไป ซึ่งตอนที่ทดสอบและมีเข้าไปเติมน้ำมัน ผมก็เลยมีโอกาสลองใช้ สะดวกสบายจริงๆ  

BMW F900XR

เริ่มที่รหัส XR สีทองตัวท็อปก่อนเลย เพราะเป็นคันแรกที่ผมได้ทดลองขี่ ดีไซน์ตามที่เห็นคือถอดแบบมาจาก S1000XR กันเลยล่ะ ซึ่งทาง BMW Motorrad จัดให้อยู่ในเซ็กเม้นท์ Adventure Sport คือมีแค่ท่าขี่ที่จะเป็นแบบเดียวกับรถ Adventure แต่ตัวรถยังคงเป็นรถใช้ในการเดินทางบนทางหลวงทางหลัก ไม่ใช่รถลุย ถ้าลุยก็ไปรหัส GS เลย

และด้วยที่มีระยะยุบของโช้คอัพที่เยอะกว่ารถถนนอยู่เล็กน้อย ไม่ได้เอาไว้ลุยอย่างที่บอก แต่นั่นทำให้ F900XR มีความ Comfortable เหนือกว่ารถทั่วไปอีกด้วย ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงรุ่นนี้อยู่ที่ 15.5 ลิตร ซึ่งตัวถังน้ำมันเป็นการใช้เทคนิคการเชื่อมพลาสติกเป็นครั้งแรกบนรถมอเตอร์ไซค์ ทรวดทรงสวยและให้ความกระชับดี ความสูงเบาะนั่ง Standard จะอยู่ที่ 825 มม. แต่ด้วยท่านั่งและความแคบของเฟรมทำให้ไม่สูงเลย ผมสูง 171 วางเท้าได้สบายๆ

ในวันที่ทดสอบมีฝนตกลงมาเกือบจะตลอดเส้นทาง และโหมดการขับขี่ที่ทางทีม Marshall ให้ลองใช้คือโหมด Rain และผมเองก็เลือกที่จะขี่ด้วยนี้ทั้งวัน(ทั้ง 2 รุ่น) บนเส้นทางในช่วงแรกที่ต้องผ่านโค้ง ผ่านทางดินบ้าง กับความเปียกชื้นบนถนน ช่วงล่างและระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยในการขับขี่ได้มากเลยนะ

แรกๆ อาจจะขี่ระวังๆ แต่การทดสอบก็ต้องลองขี่แบบปกติเลย ระบบต่างๆ จะช่วยเราเอง ให้ความมั่นคงและความปลอดภัยในการขับขี่สูงมาก คือเรามีหน้าที่ทรงตัว บิดคันเร่งและเบรกไปเท่านั้นแหล่ะ รถจะจัดการข้อผิดพลาดหรืออาการเมื่อเจออุปสรรคบนถนนให้เองเลย

จะว่าไปโหมด Rain ก็เหมือนโหมด Auto ในกล้องถ่ายรูป คือฉลาดมากๆ ในการหาและคำนวณค่าการใช้งานต่างๆ ให้เราได้อย่างเหมาะสม อันนี้คือดีเยี่ยมเลย

BMW F900R

รถสไตล์ Roadster ที่ผมมองว่าดีไซน์ถอดแบบมาจาก R1200R เลยก็ว่าได้ หล่อลงตัวกว่า F ที่ผ่านๆ มา เบาะนั่งสูง 815 มม. เตี้ยกว่า XR อยู่ 1 ซม. แต่ด้วยท่านั่งกึ่งๆ สปอร์ตก้มขี่เล็กน้อย จึงให้ความรู้สึกสูงกว่าตัว XR นะ ถังน้ำมันเชื้อเพลิงใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบเดียวกันแต่รหัส R มีความจุที่ 13 ลิตร น้อยกว่า XR และทรวดทรงของถังก็ต่างกันเล็กน้อย

ฟิลลิ่งการตอบสนองของเครื่องยนต์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต่างกันเพราะใช้เหมือนกัน จะมีก็แต่เรื่องช่วงล่างที่ F900R ให้ความสปอร์ตมากกว่าตัว XR คือโช้คของตัว R จะมีระยะยุบน้อยกว่าจึงมีความกระด้างที่มากกว่าด้วยนั่นเอง

F900R ให้ความคล่องตัวที่ดี พลิ้ว ยิ่งในโหมด Dynamic เครื่องยนต์ยิ่งให้ความดุดันเข้ากับสไตล์รถ ขี่สนุกคอนโทรลง่าย แต่แอบแรงต้องระวังไว้บ้าง

 มาพูดข้อดีข้อด้วยทั้ง F900XR และ F900R รวมกันเลย

“ส่วนตัว” ขึ้นหัวก่อนเลยว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผมชอบท่านั่งท่าขี่ของ BMW F900XR มากกว่า ด้วยความสบาย รวมกับช่วงล่างที่มีการให้ตัวได้ดีกว่า ให้ความ Comfortable ในการเดินทางไกลได้เพลินกว่า รวมถึงชิลด์บังลมที่ยกสูงได้ 1 สเต็ป ช่วยตัดแรงลมปะทะได้ดีพอสมควรเลย อีกทั้งการติดตั้งกระเป๋าข้างเพิ่มเข้าไปก็ดูเข้ากับสไตล์รถกว่ารหัส R นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องถ้ามีคนซ้อน ซึ่ง XR ก็น่าจะตอบโจทย์กว่า

มาดูที่ F900R อย่างแรกเลยที่ชอบมากคือดีไซน์ความเป็น Roadster ที่ถอดแบบมาจาก R1200R คือหล่อถูกใจมาก ขี่โชว์ตัวในเมืองนี่คือหล่อมาก และผมชอบในเรื่องความคล่องตัวอีกด้วย เมื่อเลือกใช้โหมด Dynamic ก็จะได้รถที่มีความดุดัน เกรียนได้เลย และยังนำไปขี่เล่นออกกำลัง เอาเข่าลาก Apex โค้งในสนามแข่งขันได้อย่างไม่เคอะเขิน แต่ในความเร็วสูงๆ ลมปะทะจะแรงมาก ด้วยเพราะสไตล์รถแบบนี้ ไม่ว่ายี่ห้อไหนก็หนีไม่พ้น

การทำงานของระบบ MSR คลัทช์ทำงานร่วมกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งแรกในโลก บนรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง ทำงานได้ดีเยี่ยมเลยนะครับ ต้องให้เครดิตสภาพภูมิอากาศที่มีฝนตกหนักในวันทดสอบและเส้นทางที่ทีมงานวางไว้ ได้ใช้งานอย่างเต็มที่เมื่อต้องลดเกียร์ การยกคันเร่งเข้าโค้งพับไปมาต่อเนื่องหลายสิบกิโลเมตร หลายๆ โค้งก็ต้องเจอทางน้ำไหลหรือเศษดินโคลนที่หล่นจากรถบรรทุกขวางกลางโค้ง แต่ระบบก็ทำงานให้รถผ่านไปได้อย่างมั่นคงโดยที่เราไม่ต้องพยายามควบคุมอะไรเลย เฟี้ยวจริง

หน้าจอ TFT ของทั้ง 2 รุ่นกับฟังก์ชั่นบอก องศาการเอียง บอกการทำงาน Traction Control บอกการใช้แรงเบรก ทำให้เพลินกับการเดินทาง และยังช่วยในการพัฒนาการขี่ได้อีกด้วยนะ สามารถ Challenge ตัวเองในการใช้เบรกใช้คันเร่งให้เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น และยังดึงข้อมูลการขี่ทุกอย่างรวมถึงรูทเส้นทาง มาไว้ในมือพร้อมอัพลงโซเชียลได้สะดวก ใช้ “ขิง” กับเพื่อนได้ว่าข้านี้ขี่เนียนกว่าเยอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

  • F900R ราคา 495,000 บาท สำหรับสีดำ Black Storm Metalli ราคา 520,000 บาท สำหรับสีขาว/แดง Hockenheim Silver Metallic/Racing Red(Sport Style) และ 525,000 บาท สำหรับสีน้ำเงิน San Marino Blue Metallic
  • F900XR ราคา 535,000 บาท สำหรับสีขาว Light White ราคา 550,000 บาท สำหรับสีแดง Racing Red (Sport Style) และ ราคา 550,000 บาท สำหรับสีทอง Galvanic Gold Metallic (Exclusive Style)

สีและราคาที่ต่างกันของทั้ง 2 รุ่น หมายถึงออฟชั่นที่ติดรถมามีความต่างกัน มีอะไร อย่างไร ไปถามหรือไปลองคล่อมได้ที่ตัวแทนจำหน่าย BMW Motorrad ทั่วประเทศครับ

พาชมโรงงาน BMW ในไทยผลิตมอเตอร์ไซค์ส่งขายทั่วภูมิภาค
S1000RR สีใหม่ล่าสุด พร้อมราคา คลิก
เรียนขี่รถแข่งในสนามช้าง กับ California Superbike คลิก
คลิป รีวิว การเรียน คลิก
รีวิว BMW R1250GS/GSA Shift Cam คลิก
คลิป รีวิว R1250GSA คลิก

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่