[รีวิว] 2020 All New Triumph Rocket 3 รถยักษ์ 2500 ซีซี ใหญ่ที่สุดในโลก

0

All New Triumph Rocket 3 รถมอเตอร์ไซค์ที่มีสายการผลิตออกจากโรงงานเพื่อขาย ที่ได้ชื่อว่ามีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดถึง 2,500 ซีซี กับรูปแบบเครื่องยนต์แบบ 3 สูบเรียงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หนึ่งเดียวในโลก ใหญ่แล้วมีอะไรดี มีอะไรมากกว่าความใหญ่ ที่แน่ๆ ความสุดของโลกรุ่นนี้ราคาไม่ถึงล้านบาท

First Impression

ต้องเกริ่นก่อนว่าตัวผมเองชื่นชอบไทรอัมพ์ ร็อคเก็ต 3 มาตั้งแต่โฉมแรก ครั้งแรกที่เห็น ก็หลงเสน่ห์ในความใหญ่โต ดุดัน บอกความเป็น “จ่าฝูง” ได้ด้วยเอง แน่นอนว่าโฉมแรกที่ออกมาในปี 2004 ช่วงนั้น “ไทย” ยังไม่ได้เริ่มมีการนำเข้ามาขายของค่ายรถโดยตรงเหมือนในปัจจุบัน ในขณะนั้นจึงไม่ค่อยได้เห็นมากนัก กอปรกับด้วยแบรนด์ ด้วยราคาในขณะนั้น หลายคนเบนเข็มไปหา Criuser มะกัน และอีกอย่างที่น่าจะเป็นคือ “รถเลือกคน” ความใหญ่ทำให้หลายคนครั่นคร้าม กังวล ว่าจะ “เอาอยู่” หรือไม่นั่นเอง

โฉมก่อนหน้า ในชื่อรุ่น Rocket III เอง ใช้เลขโรมันต่อท้ายรุ่น ส่วน All New เปลี่ยนเป็นเลขฮินดูอารบิก

ปัจจุบันผู้ที่ครอบครอง “ร็อคเก็ตทรี” โฉมก่อนหน้านี้ เรียกว่านับคนได้ มีเซเลปดาราอย่าง “คุณดอม เหตระกูล” บอสใหญ่ไทรอัมพ์วิภาวดี และอีกคนก็คือ “ดีเจภูมิ” ก็เป็น 2 ในไม่กี่คน ที่เป็นเจ้าของรถใหญ่บ้าพลังรุ่นนี้ ซึ่งก็เข้ากับบุคลิกของผู้เป็นเจ้าของ หรืออธิบายตัวตน รสนิยมของผู้ที่ครอบครองได้อย่างดีทีเดียว   

ความเป็นมาย่อๆ เรียกน้ำย่อย

ไทรอัมพ์ ร็อคเก็ตทรี ในโฉมแรกมีขนาดเครื่องยนต์ 2,300 ซีซี ออกมาครั้งแรกปี 2004 อย่างที่บอกไปในข้างต้น ซึ่งดีไซน์ของปี2004-2005 ที่ออกมาคือมีแฮนด์ที่สูง มีชิ้นโครเมี่ยมรอบคัน ไฟคู่หน้าโคมแยกธรรมดาๆ ดูแล้วออกแนว “ครุยเซอร์” อย่างชัดเจน ต่อมามีการออกแบบเพิ่มรุ่นย่อยเข้าไป ทั้ง Classic และ Touring โดยมีรายละเอียดของอุปกรณ์ติดรถปลีกย่อยที่ต่างกัน รวมถึงดีไซน์

รุ่น Standard กับรุ่น Classic มีดีไซน์ไม่ต่างกันมากนัก แต่ในรุ่น Touring จะมีถังน้ำมันเชื้อเพลิงที่แตกต่างออกไป และยังมีส่วนควบหรืออุปกรณ์ติดรถอื่นๆ เพิ่มเข้ามา อาทิ ชิลด์บังลมขนาดใหญ่ กระเป๋าข้างแบบ Hard Case สไตล์ Bagger ยิ่งชัดในความเป็น Cruiser Tourer รวมถึงลายของล้อแม็กในแต่ละรุ่นย่อยก็ต่างกัน จนถึงปี 2009 – 2010 ก็มีอีกรุ่นย่อยคือ Roadster ออกมาอีกรุ่น และยุบรุ่น Classic ไปในปีเดียวกัน

ทุกปีตั้งแต่ผลิตออกมา ร็อคเก็ตทรี ได้รับการพัฒนาตลอดเช่นกัน นอกจากเรื่องดีไซน์(แทบจะไม่เปลี่ยนนัก) อุปกรณ์ติดรถ ก็จะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ แต่สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือเครื่องยนต์ 2,300 ซีซี แบบ 3 สูบเรียง อันเป็นเอกลักษณ์ แต่ก็มีการพัฒนาสมรรถนะอยู่ตลอดเช่นกัน ผลคือได้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น

แต่แล้วปี 2019 ก็สิ้นสุดไลน์ผลิตเดิมลงทั้งหมด พร้อมๆ กับเริ่มการผลิต “ร็อคเก็ตทรี” โฉมใหม่แบบ All New และเปิดตัวให้เห็นครั้งแรกใน EICMA 2019 งาน 2 ล้อที่ใหญ่ที่สุดในโลกช่วงปลายปีที่อิตาลี มากับดีไซน์ใหม่พร้อมเพอร์ฟอร์แมนซ์เต็มคัน ทำเอาคนที่ชอบร็อคเก็ตทรีอยู่แล้ว(อย่างผม) ยิ่งชอบเข้าไปอีก

Rocket 3 TFC ตัวแต่งพิเศษจาก Triumph Factory Custom มี 750 คันทั่วโลก และแน่นอนในไทยก็มี

2 รุ่นย่อยหลัก 1 รุ่นลิมิเต็ด ใหญ่กว่าเดิม

ไทรอัมพ์ ร็อคเก็ตทรี ใหม่ เปิดตัวมา 2 รุ่นหลักคือ Rocket 3R และ Rocket 3GT พร้อมรุ่นพิเศษ Rocket 3 TFC ที่ถูกตกแต่งเพิ่มสมรรถนะจาก Triumph Factory Custom สำนักแต่งจากโรงงานไทรอัมพ์เอง เป็น Limited Edition ผลิตออกมาเพียง 750 คันทั่วโลก และรุ่น TFC นี้ยังเป็นรุ่นแรกที่เผยโฉมให้เห็นในสื่อต่างๆ ทั่วโลก ก่อนรุ่น R และ GT ซะอีก

เครื่องยนต์ 3 สูบ หัวใจหลักของไทรอัมพ์

เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 3 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีกระบอกสูบ x ช่วงชัก 110.2 x 85.9 มม. ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,458 ซีซี ปกติผมไม่ค่อยลงกระบอกสูบและช่วงชัก แต่พี่ใหญ่สูบโตคันนี้ต้องลงให้เห็นหน่อยว่าใหญ่ยาวแค่ไหน จ่ายนำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์

2,500 ซีซี ใหญ่สุดในรถ Production

ให้พละกำลัง 167 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที(เดิม 148 ตัว มากกว่าเดิม 11%) แรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที เกียร์ 6 สปีด ขับเคลื่อนขั้นสุดท้ายหรือถ่ายทอดกำลังลงล้อหลังด้วยเพลาขับ ไทรอัมพ์เคลมว่าร็อคเก็ตทรีสามารถเร่ง 0 -100 กม./ชม. ในเวลา 2.73 วินาทีเท่านั้น เฉพาะตัวเครื่องยนต์ที่มีขนาดและกำลังมากขึ้นแต่น้ำหนักกลับเบาลงจากโฉมก่อนถึง 18 กิโลกรัม และมีน้ำหนักรวมทั้งคันเบากว่าโฉมเดิม 40 กิโลกรัม

ช่อง Ram Air ที่เฟรม

เฟรม ช่วงล่าง เบรก

เฟรมอลูมิเนียมใหม่มีช่องดักอากาศหรือช่อง Ram Air ด้านหน้า(หลังแผงคอ) โช้คอัพหน้า Showa แบบ Upside Down ขนาด 47 มม. ปรับ Compression และ Rebound ได้ โช้คอัพหลังเดี่ยว Showa แบบ Piggyback Reservoir (ซับแทงค์) ปรับได้เต็มระบบ มีรีโมทไฮดรอลิกแยกปรับพรีโหลดได้ง่ายที่ใต้บังโคลนท้าย(ในซุ้มล้อใต้เบาะนั่ง) ทำงานร่วมกับเฟรมและสวิงอาร์มแขนเดี่ยวที่หุ้มเพลาขับไว้ที่ด้านซ้าย โชว์ล้อแม็กเต็มๆ วงที่ด้านขวา  

Brembo Stylema ไว้ใจได้เลย

เบรกหน้าไฮเอ็นจัดมาแบบเต็มๆ เป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มม. จับด้วยคาลิเปอร์ Brembo Stylema เป็นปั้มแบบ Monobloc ขนาด 4 ลูกสูบ ยึดแบบ Redial Mount ดิสก์แบรกหลังเดี่ยวขนาด 300 มม. เต็มวงล้อจับด้วยคาลิเปอร์ Brembo ขนาด 4 ลูกสูบ เป็นปั้ม Momobloc เช่นเดียวกัน ทั้งหน้าหลังมีระบบ Cornering ABS ติดมาจากโรงงานเป็นมาตรฐาน

เพลาขับใหญ่เบิ้ม เก็บรายละเอียดได้สวยงามรอบคัน หรู พรีเมี่ยม

ล้อเป็นล้อแม็ก Aluminium Cast ดีไซน์ 20 ก้าน ล้อหน้าขนาด 17 x 3.5 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 150/80ZR17  ล้อหลังขนาด 16 x  7.5 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 240/50ZR16 โดยไทรอัมพ์เลือกใช้ยาง AVON Cobra ติดล้อร็อคเก็ตทรีมาจากโรงงาน  

ยางหลัง Avon Cobra Chrome ขนาด 240/50ZR16

ระบบอิเล็กทรอนิกส์เต็มระบบ กับโหมดขับขี่  

ระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบช่วยเหลือการขับขี่ยัดมาเต็มลำไม่แพ้ขนาดของเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็น

  • Optimised Cornering ABS ระบบ ABS ที่ทำงานในขณะใช้เบรกแรงเพื่อหลบหรือเปลี่ยนทิศทางในขณะเข้าโค้งได้อย่างปลอดภัย
  • Optimised Cornering Traction Control ระบบ Traction Control ที่อ่านค่าและทำงานในขณะเข้าโค้ง ช่วยให้ล้อหลังไม่ปั่นฟรีจากแรงบิดอันมหาศาลจนเสียการควบคุมในขณะเข้าโค้ง
เรือนไมล์ TFT เปลี่ยน Theme ได้
  • Hill Hold Control ระบบช่วยหยุดและออกตัวบนเนินชันได้อย่างปลอดภัยโดยที่รถจะไม่ไหล ระบบจะอ่านค่าจากมุมเอียงตอนจอดบนเนินและบีบเบรกหน้า ระบบจะสั่งงานให้คาลิเปอร์หลังทำงาน ไม่ให้รถไหลไปหน้าหรือหลัง แม้เราปล่อยมือจากเบรกหน้าก็ตาม กับรถหนักๆ ใหญ่ๆ ระบบนี้มีประโยชน์อย่างมาก   
  • Cruise Control ช่วยล็อคความเร็วในขณะเดินทางไกล โดยที่ผู้ขี่ปล่อยมือจากคันเร่งเพื่อผ่อนคลายได้
สวิทซ์แฮนด์ เรียบง่าย แต่ดูดี
  • โหมดขับขี่ 4 โหมด คือ Road, Rain, Sport และ Rider-Configurable ใน 3 โหมดแรกจะทำงานกับระบบช่วยขับขี่หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวไปด้านบนแล้วนั้นมาจากโรงงาน ส่วนโหมด Rider-Configurable จะให้ผู้ขี่ปรับตั้งค่าต่างๆ เองได้อย่างอิสระ ให้เหมาะสมกับสไตล์การขับขี่ของแต่ละบุคคล
  • Triumph Shift Assist หรือระบบ Quick Shifter นั่นเอง ทั้ง Up และ Down แต่อันนี้ต้องซื้อเพิ่มเองนะ
เบาะนั่งผู้ขี่กว้างโอบรับสะโพกเต็มก้นนั่งสบาย แต่คนซ้อนยังไม่รู้?

เทคโนโลยีขั้นสูง หรูหราสมฐานะ

เริ่มกันที่หน้าจอ TFT ที่ไทรอัมพ์บอกว่าเป็น Generation ที่ 2 บอกฟังก์ชั่นครบและเลือก Theme หรือรูปแบบของหน้าจอได้อีกด้วย, ไฟ LED รอบคัน มี Day Time Running Light ที่โดดเด่น, ระบบกุญแจ Keyless ที่พิเศษคือเราสามารถล็อคคอรถได้โดยการหักแฮนด์สุดแล้วกดล็อคจากสวิทซ์แฮนด์ด้านขวาได้เลย แต่ฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงยังต้องใช้กุญแจไขและหมุนออก

ช็อคอัพหลังเดี่ยวมีซับแทงค์ ที่เห็นติ่งดำๆ ด้านซ้ายคือรีโมทสำหรับหมุนปรับพรีโหลดได้สะดวก

สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วย Blutooth ใช้งานร่วมกับแอพริเคชั่น “My Triumph” โหลดใช้ได้ทั้ง IOS และ Android มีรายละเอียดหลายอย่างในแอพฯ ให้เล่นและใช้งานเพิ่มความสะดวกในการใช้รถ ซึ่งผมลองโหลดมาแอพริเคชั่นจะให้กรอกข้อมูลสำคัญต่างๆ รวมถึงข้อมูลตัวรถ ผมจึงไม่ได้กรอกลงไป เพราะรถเป็น Demo ที่ยืมมา , เลือกฟังเพลงในสมาร์ทโฟนได้ รวมถึง รับ-วางสายก็ทำได้ , มีระบบ Turn-by-turn Navigation ระบบช่วยนำทางโดยต้องเชื่อมต่อกับแอพริเคชั่นก่อน บอกจุดเลี้ยวจุดต่อจุดบนหน้าจอ TFT ให้เราได้เห็นเลย, มีช่อง USB ชาร์จอุปกรณ์ภายนอก

ระบบ GoPro control system เป็นครั้งแรกรุ่นแรกในโลกที่ติดตั้งระบบควบคุมกล้อง GoPro นี้มาให้ รถเชื่อมต่อกล้อง GoPro แสดงผลทางหน้าจอ TFT สามารถควบคุมกล้อง GoPro ได้

ส่วน Heat Grip หรืออุ่นแฮนด์จะมีติดตั้งในรถ GT ในรุ่น ต้องซื้อเพิ่ม รวมถึงระบบ Tire Pressure Monitoring ระบบวัดแรงดันลมยางที่ต้องซื้อเพิ่มในทั้ง 2 รุ่น(ถ้าอยากได้นะ) และยังมี Accessories อีก 50 รายการที่ไทรอัมพ์ผลิตมารองรับการตกแต่เพิ่มทุกสไตล์

สนใจเชิญที่ Triumph พระราม 5 เลย มีรถ Demo ให้สัมผัส

First Ride ลองขี่กันหน่อย

แม้จะมีประสบการณ์การขี่รถมาแล้วเกือบทุกรุ่น แต่ความตื่นเต้นก็ยังถาโถมเข้ามาที่ผม ประหนึ่งคนที่เราแอบชอบตกลงออกเดทดูหนังกับเราแบบ 2 ต่อ 2 เป็นครั้งแรก ดีไซน์ที่ดุดัน สวย ลงตัว ชวนให้ลุ่มหลงทิ้งโฉมก่อนหน้าแบบไม่เห็นฝุ่น ในสายตาผมคือใหญ่แต่ก็ยังดูกะทัดรัด น่าขี่ นอกจากดีไซน์ที่โดนใจผมมาก รอบคันยังมีรายละเอียดยิบย่อยหรูหราดูแพง งานประณีต

เบาะนั่งที่สูงเพียง 773 มม. ผมสูง 172 คล่อมแล้วยังเข่างอเท้าวางเต็มพื้นทั้ง 2 ข้าง ก็แน่ละตามสไตล์ของรถ Criuser หรือไทรอัมพ์เข้าเรียกว่า Roadster ที่ต้องเตี้ยอยู่แล้ว พักเท้าวางกลางลำมีตำแหน่งที่ดีไม่ยื่นหรือถอยหลัง ซึ่งตำแหน่งพักเท้าจะต่างจากรุ่น GT ที่จะยื่นมาด้านหน้า ออกแนว Criuer มากกว่า  แฮนด์เดิลบาร์ใหญ่และกว้างพอสมควรเลย แต่มันกว้างแบบมีเหตุผลนะเดี๋ยวจะบอก  ท่านั่งโดยรวมแบบ Upright สบายๆ แต่หล่อมาก

จังหวะสตาร์ทรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนตัวของลูกสูบขนาดใหญ่เป็นผลให้มีแรงเหวี่ยงออกซ้ายขวาเล็กๆ มีเสน่ห์เหลือเกิน ผมขี่ออกจากโชว์รูม Triumph พระราม 5 ด้วยความมั่นใจ รถใหญ่ มีน้ำหนักตัวที่ 291 กิโลกรัม(ไม่รวมของเหลว) แต่การที่มีศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้เลี้ยวง่าย ยางหลัง 240 ใหญ่เต็มตูด มีผลต่อการควบคุมบ้างเมื่อต้องร่อนหลบรถยนต์ในความเร็วสูง คือช้าไปนิด แต่การออกแบบให้รองรับซึ่งกันและกันจึงแทบไม่มีผล แต่ก็ควรระวังเมื่อเจอทางต่างระดับหรือปีนตะเข็บหรือรอยต่อบนถนน

การตอบสนองของคันเร่งและเครื่องยนต์สมูทมาก คือการคลานไปด้วยรอบต่ำๆ เครื่องยนต์ก็พาตัวรถไหลไปเนียนๆ เบาแรงจนต้องบอกว่าตรงข้ามกับแรงบิด 221 NM ที่อั้นอยู่ภายใน ความคล่องตัวก็มีสูงขัดกับขนาดตัวเช่นกัน ร็อกเก็ตทรีคอนโทรลได้ง่ายและคล่องตัว เลี้ยวเร่งแซงบนการจราจรที่หนาแน่นได้สบายๆ (การจราจรที่ไม่ถึงกับติดแหง็กนะ)

ความร้อนของเครื่องยนต์เมื่อต้องขี่ช้านานๆ มีบ้างเป็นธรรมดา ผมบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะด้วยเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ด้วยเพราะลูกสูบลูกสุดท้ายอยู่ใต้หว่างขา และที่สำคัญ “แดด” และสภาพ ไม่อากาศเมืองไทย ไม่ว่ารถอะไรก็ร้อน แต่เชื่อไหมรถสปอร์ตไบค์บางรุ่นร้อนกว่านี้อีก ผมจึงถือว่าเป็นเรื่องปกตินะ จะมีที่ต้องระวังก็คงเป็นท่อไอเสียที่ใกล้กับข้อเท้าขวา ถ้าใส่ “อีแตะ” ขี่ไป 7-11 แถวบ้านก็คงต้องระวังกันหน่อย

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวไปดูว่าเชื่องดีเหลือเกิน แต่เปล่าเลยครับ! ทันที่ที่เร่งรอบขึ้นไป ร็อกเก็ตทรีจะพาเราพุ่งไปข้างหน้า และถ้ากระแทกคันเร่งล้อหลังจะฟรีทิ้ง สัญญาณไฟเตือนระบบ Traction Control กระพริบแสดงสถานะการทำงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแรงดึงอันมหาศาล ที่จะพาร่างของผู้ขี่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วและน่ากลัว บางทีมันอาจจะดึงแรงเหมือนเครื่องบินกำลังเทคออฟเลยก็ว่าได้ บอกเลยว่าสองมือต้องจับแฮนด์ให้แน่นเชียวไม่งั้นตกรถ!!

การเลี้ยวรถวงแคบหรือกลับรถบนถนนลื่นๆ ก็ควรระวังเรื่องเปิดคันเร่งออกตัวไว้บ้าง แต่ด้วยความสมูทของคันเร่งและการตอบสนองในรอบต่ำของเครื่องยนต์ที่ผมบอกไปก็พอไว้ใจได้ และเรื่องแฮนด์ที่กว้างที่ผมค้างเอาไว้ในตอนต้น ก็เพื่อการควบคุมรถที่มีพละกำลังสูงๆ แบบได้เบาแรงขึ้นนั่นเอง รวมถึงยางหลังที่มีหน้ายางกว้างนอกจากหล่อแล้ว ก็เพื่อรองรับการนี้ด้วยเช่นกัน

จากข้อมูลที่บอกไปแรงบิดสูงสุดมาในรอบต่ำเพียง 4,000 รอบเท่านั้น การขี่ใช้งานทั่วไปจึงใช้งานในรอบเครื่องที่ต่ำมาก แม้จะใช้เกียร์สูงอยู่แต่ต้องการจะเร่งแซงในทันทีก็ทำได้แบบง่ายๆ โดยไม่ต้องลดเกียร์ ด้วยเส้นทางที่ลองขี่โล่ง ผมลองเร่งต่อเนื่องไต่ความเร็วขึ้นไป จนมิดคันเร่งในเกียร์ 5 และส่งต่อเกียร์ 6 (แถมเป็นช่วงขึ้นสะพาน) ความเร็วโชว์ที่ 220 กม./ชม ทั้งความเร็วและแรงดึงก็ยังไม่ทีท่าจะหมด รถยังไปต่อได้สบายๆ แต่ผมสิที่ไม่สบาย ถอดใจ ขอยกคันเร่งก่อนดีกว่า น่ากลัวเหลือเกิน อีกอย่างที่ชัดคือเสียงของเครื่องยนต์และท่อไอเสีย ทุ้มแต่ลั่น ดุดัน

การได้ลองในจุดนี้จึงบอกได้ถึงอัตราเร่งและการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ซึ่งถังน้ำมันเชื้อเพลิงจุได้ 18 ลิตรก็จริง รอบต่ำๆ บริโภคไม่มาก อยู่ในขั้นประหยัดเกินซีซี แต่ถ้าเร่งรอบสูงรวมถึงใช้ความเร็วสูงๆ ก็ “ซด” เช่นกันนะจะบอกให้ รวมถึงแรงลมที่ปะทะตัวคนขี่มีมากมายมหาศาล … ช่วงล่างแนวสปอร์ต คือแน่นๆ เลยหนึบดี ที่ดีเลยคือเบรก เบรกหยุดรถมีประสิทธิภาพมาก ไว้ใจได้รวมถึงระบบ ABS และยางที่ต้องทำงานร่วมกับเบรกดีทีเดียวล่ะ

Conclusion สรุปเลย

ต้องออกตัวก่อนว่าการรีวิวนี้ผมขี่ทดสอบเพียงสั้นๆ ใน 1 วันเท่านั้นรอบๆ กทม. ยังไม่ได้ลองในระยะทางยาวๆ ข้อสังเกต จุดเด่นหรือจุดด้อยบางอย่างก็อาจจะยังไม่พบเจอ แต่จากดีไซน์และสไตล์รถถ้าเดินทางไกลคงหนีไม่พ้นเรื่องลมปะทะที่มีแน่นอน รวมถึงความเพลินในการแช่คันเร่งในความเร็วสูง น้ำมันเชื้อเพลิงก็จะยุบเร็วตามความเร็วด้วยนะจ๊ะ

ส่วนอื่นๆ ด้วยสไตล์รถแบบนี้ผมถือว่า “เด็ดดวง” เลยทีเดียว การตอบสนองดี การควบคุมดี ระบบดี ช่วงล่างและเบรกดี หน้าจอหล่อ โอย! ดีไปซะหลายอย่าง ด้วยที่ผมบอกไปแล้วว่าชอบรุ่นนี้เป็นทุนเดิมก็เหมือนจะเอียง แต่การที่ชอบก็ทำให้ผมหาข้อเสียนะ แต่กระนั้นรถมันก็ฟ้องตัวเองว่าข้านั้นดีจริง

แต่ถึงอย่างนั้น ต้องบอกอีกว่าร็อกเก็ตทรีอาจไม่เหมาะนักสำหรับมือใหม่ที่อยากขี่ Bigbike ในสไตล์นี้ ด้วยน้ำหนัก พละกำลัง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะควบคุม ยิ่งเมื่ออยู่ในรอบสูงหรือต้องแก้ไขอาการรถต่างๆ ถ้าเผลอเปิดคันเร่งออกไป รวมถึงถ้ามือใหม่ต้องพาออกทริปขึ้นเขาเจอโค้งขึ้นลงเขาพับไปมาถี่ๆ ด้วยแรงบิดของรถเองหรือการคุมคันเร่งได้ไม่ดี กอปรกับน้ำหนักตัวรถ ระยะฐานล้อและความกว้างของล้อหลัง อาจจะพากันลงเขาหรือไม่ก็บานได้ ต้องระวัง

All New Triumph Rocket 3R ราคา 955,000 บาท
All New Triumph Rocket 3GT ราคา 985,000 บาท

ใครสนใจลองไปดูตัวจริงๆ ก่อนได้ที่โชว์รูมไทรอัมพ์ทั่วประเทศ และแน่นอนถ้าใน กทม. ก็เชิญได้ที่ “ไทรอัมพ์พระราม 5” เพราะที่นี่เขามีรถ Demo ให้ลอง มีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำเต็มระบบ และมีโปรโมชั่นที่ไม่อาจจะปฏิเสธ แถมยังมีหลายยี่ห้อให้ดูในที่เดียวด้วย เฟี้ยวเลย

Special Thank : Triumph พระราม 5 , Club Moto วงเวียนพระราม 5 กทม.
เพจ Triumph พระราม 5 คลิก

คลิปทดสอบรีวิว ร็อกเก็ตทรี คลิก
ทดสอบ รีวิว Triumph Tiger คลิก
เปิดตัว เปิดราคา 2020 Triumph Street Triple R คลิก

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่